เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ธ.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเกิดเป็นสภาวะนะ คนเรานี่เกิดกรรมร่วมสมัย สภาวะ เห็นไหม สภาคะ กรรมนี่ เวลาเป็นอาบัติ พระเป็นอาบัติองค์เดียวต้องปลงอาบัติคนเดียว ถ้าเป็นสภาคะคือว่าพระทั้งหมดเป็นอาบัติทั้งหมดเลย นี่ปลงอาบัติไม่ได้ อาบัตินั้นไม่ตก ต้องไปปลงกับสงฆ์หมู่อื่นแล้วค่อยกลับมาปลงอาบัติกับตัวเอง สภาคกรรมคือว่าทำอาบัติร่วมกัน

สมมุติว่าพระทั้งวัดมีปกปิดสิ่งใดไว้ แล้วทำร่วมกันนี่ จะปลงอาบัติ อาบัตินี้จะไม่ตก เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้เป็นสภาวะ เป็นรับรู้ด้วยกัน แต่ถ้าองค์ใดองค์หนึ่งทำความผิดพลาด แล้วไปปลงกับองค์ที่บริสุทธิ์ องค์ที่ไม่ผิดพลาด นี่อาบัติปลงตก สิ่งที่ปลงตก เห็นไหม มันเป็นส่วนบุคคล ส่วนบุคคลคือคนนั้นทำผิด คนนั้นเป็นไป แต่ถ้าทำเสมอภาคกัน ไอ้อย่างนั้นปลงอาบัติไม่ตก

ในความเป็นไปของเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจเจริญขึ้นมานี่ ทั้งประเทศเลย ทั้งภูมิภาคเจริญหมดเลย เวลาเศรษฐกิจมันตก เห็นไหม แล้วมันมีคนคนหนึ่งมีบุญญาธิการมาก แบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่เปิดโลกนะ เวลาพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์พูดนะ พระอานนท์นี่เป็นพระโสดาบัน แล้วเวลารำพึง เห็นไหม “ดวงตาของโลกดับแล้ว” ทุกข์มาก เพราะคนเรานี่ ขนาดพระเจ้าอชาตศัตรูจะยกทัพไปตีกษัตริย์ลิจฉวี ยังไปถามพระพุทธเจ้าเลยว่า “ไปตีนี่จะชนะหรือแพ้”

นี่เพราะอะไร? เพราะคนที่มีดวงตาเห็นธรรมนี่ มันมองไปได้หมด เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “บางอย่างนี่ไม่พยากรณ์” คือไม่พูดไง มันไม่เป็นประโยชน์กับโลกเขา มันไม่พูด นี่ถึงว่าเอาพระอรหันต์มาบริหารประเทศ มันจะมีพระอรหันต์ให้บริหารประเทศไหม พระอรหันต์น่ะอยู่ในป่า พระอรหันต์ไม่ออกมาเรื่องโลกหรอก

เหมือนกับเวลาหลวงตาท่านบอกน่ะ “ถังขยะ” เรื่องของโลกมันมีการเมือง มีสิ่งที่ว่ามีติฉินนินทา มันเป็นไป แต่ในความรู้สึกของพระอรหันต์น่ะ จะไม่ออกมายุ่งเรื่องอย่างนี้หรอก เพราะออกมายุ่ง คนที่ติฉินนินทา ท่านบอกน่ะ “นรกเปิดเลย” ติเตียน...(เทปขัดข้อง)...ผู้ที่ไม่มีกิเลสในหัวใจนี่ ไม่โต้ตอบเราหรอก จะทำอย่างไรก็เป็นไป

แม้แต่สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย เวลาที่ว่าเขายกอาหารมาให้นี่ มีคนเขามาติเตียนพระพุทธเจ้ามาก พระพุทธเจ้าพูดให้เขาฟังไง “ถ้าโยมยกอาหารมาตั้งไว้ต่อหน้าเรา ถ้าเราไม่ฉันนี่ อาหารนั้นจะเป็นของใคร โยมต้องยกกลับไปใช่ไหม อาหารนั้นเป็นของโยม”

เหมือนกัน สิ่งที่ท่านไม่ตอบโต้ ท่านไม่ตอบโต้เรื่องของท่าน แล้วเราไปติเตียน สิ่งนั้นจะเป็นบาปกรรมขนาดไหน ท่านถึงว่าถ้ามองถึงเรื่องความสงสารเมตตาสัตว์โลกนะ จะไม่ออกมายุ่งหรอก เพราะออกมายุ่งนี่ มันมีแง่บวกและแง่ลบไง แง่ลบคือว่าคนที่เขาไม่เห็นด้วยเขาก็ต้องติฉินนินทา

สิ่งนี้เป็นกรรมของเขา เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ ดูอย่างที่ว่าสุภาพบุรุษเรายังไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าเลย แต่นี้ใจของคนที่ไม่มีนั้นน่ะ นี่พระอรหันต์ถึงไม่อยากออกมายุ่งกับโลก แต่คนที่สร้างบุญญาธิการมา เห็นไหม ในสมัยพุทธกาลน่ะ พระอรหันต์แต่ละองค์ บางองค์นี่จะมีบุญญาธิการต่าง ๆ กันไป

ดูสิ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระอัญญาโกณฑัญญะนี่เป็นพระอรหันต์นะ แล้วเป็นสงฆ์องค์แรกเลย เป็นพี่ใหญ่ของเรา เป็นพี่ใหญ่ของสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าสอนให้มีดวงตาเห็นธรรมองค์แรกเลย ยังเข้าไปอยู่ในป่า เห็นไหม เอาหลานมาบวชเท่านั้นเอง ไม่ได้เผยแผ่ศาสนา

พระสารีบุตรนี่ เริ่มต้นตั้งแต่ไปอยู่กับสัญชัยก่อน แล้วเห็นว่าสิ่งนั้นมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งใดไม่ใช่ก็คือความไม่ใช่ นี่มันไม่เห็นกับสิ่งนั้นไง สิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้ ถึงย้อนกลับมาหาพระอัสสชิ พระอัสสชิสอนว่า “ทุกข์หรือสิ่งต่าง ๆ เกิดมาจากเหตุ พระพุทธเจ้าสอนไปแก้ที่เหตุ” นี่ฟังธรรมแค่นี้เป็นพระโสดาบันขึ้นมา แล้วไปบอกพระโมคคัลลานะมา แล้ว ๒ องค์นี้เป็นผู้ที่เผยแผ่ธรรมมาก คนที่จะเผยแผ่ คนที่จะมีบารมีธรรมนี่มันต้องสร้างสมมา การสร้างสมมา

นี้ก็เหมือนกัน ถึงคราวถึงเวลาท่านออกมานะ ครูบาอาจารย์ของเรานี่ออกมาช่วยประเทศชาติ ออกมานี่ เขาจะพูดอย่างไรมันเรื่องของเขา แต่พูดอย่างนี้มันไม่มีใครเป็นไปได้หรอก มันไม่มีใครทำที่ว่า องค์นี้ทำแล้ว องค์อื่นต่อ ๆ ไปจะมาทำนี่ มันเป็นไปไม่ได้ เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องของโลกเขา โลกธรรม ๘ เราพูดได้ เราพูดตั้งแต่คนที่พูดได้ คนที่เขาไม่สนใจ เราก็อย่าไปพูดกับเขา เพราะมันไม่เป็นประโยชน์ขึ้นมาหรอก

สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์ขึ้นมานี่ วางไว้อย่างนั้น เราจะแหวกโลกไม่ได้หรอก ดูสิ เรื่องของใจ เห็นไหม เรามีลูกมีหลานน่ะ เราต้องการให้ลูกหลานเราเป็นคนดีหมดล่ะ ทำไมเราสอนให้ลูกหลานเราคิดความเห็นอันนี้ไม่ได้ล่ะ แต่ถ้าพูดถึงการทำการทำงาน เห็นไหม เรายังสอนทำการทำงาน มันยังฝืนเลย แล้วจะสอนเรื่องกิเลส เรื่องในหัวใจนี่ มันยิ่งพลิกแพลงไปใหญ่

คนเราเกิดมาต้องตายทั้งหมด เขาจะเห็นจริงกับเราหรือเขาไม่เห็นจริงกับเรานี่ มันเรื่องของเขา เพราะอะไร? เพราะภพชาติมันเวียนไปเวียนเกิด เวียนไปเวียนมานี่ วัฏฏะ เห็นไหม คนที่หมดบุญ หมดบุญญาธิการมาจากสวรรค์ มาจากอินทร์ จากพรหมก็มาเกิดเป็นมนุษย์ คนที่เกิดจากนรก เกิดจากเปรตจากผีนี่ เวลาหมดกรรมของเขา เขาก็หมดกรรมสะสมขึ้นมา เขาก็ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เรามันถึงเป็นภพกลางไง ภพกลางที่จะมาสร้างคุณงามความดีกันต่อไป

ถ้าเราจะสร้างคุณงามความดีนี่ เราต้องเอาเรื่องของเรา เราเอาเรื่องของเรานะ เรื่องของเขาเป็นเรื่องของเขา เผยแผ่ธรรมไปนี่ คนจะเห็นด้วยก็ได้ ไม่เห็นด้วยก็ได้ สิทธิเสรีภาพไง ศาสนาพุทธมีคุณงามความดีตรงนี้ไง ไม่บังคับใคร ใครจะเชื่อก็ได้ ใครไม่เชื่อก็ได้ ถ้าเขาไม่เชื่อมันก็เป็นกรรมของสัตว์ไง

นี่ถ้าเป็นกรรมของสัตว์ เห็นไหม เขาไม่เชื่อเขาก็ไม่ได้ประโยชน์ของเขา นี่แสงอาทิตย์มี เมื่อก่อนไม่มีโซล่าเซลล์นี่ เราจะใช้ประโยชน์ไม่ได้หรอก เดี๋ยวนี้มีโซล่าเซลล์นี่ ใช้ประโยชน์ได้ขึ้นมา โซล่าเซลล์อันนี้มันก็เหมือนกับธรรมะนี่มันมีอยู่ แล้วถ้าเราฝึกฝนของเราขึ้นมา เราแก้ไขของเราขึ้นมา เราจะได้ประโยชน์กับตรงนี้

ถ้าเขาไม่ได้ประโยชน์ก็เป็นเรื่องของเขา ต้องวางไว้นะ จะไปบังคับให้เขาเห็นเหมือนเราไม่ได้ หลวงตาบอกเลย คนเราจะสอนน่ะสอนแต่คนที่พร้อม คนที่ลืมตา คนที่ทำงานอยู่ คนที่นอนหลับ คนที่ไม่สนใจนี่ เขานอนหลับ เขาไม่สนใจนี่ ทิฏฐิมานะมันเกิดขึ้นมากนะ เราสร้างคุณงามความดีมา เราทำของเรามา สร้างหาสมบัติของเรามา แล้วเราจะไปสละให้ใคร สิ่งต่าง ๆ นี่มันตระหนี่ถี่เหนียว กิเลสมันเป็นสภาวะแบบนั้น

นี่ใจมันนอนหลับ แล้วเราจะไปบอกเขาให้เขาเชื่อ มันเป็นไปไม่ได้ แล้วใครจะเชื่อว่าพระอรหันต์มาเกิดจากอะไร พิสูจน์ได้อย่างไรว่าเป็นพระอรหันต์ สิ่งที่จะเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์นี้ เพราะคนที่ประพฤติปฏิบัติไง ครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์นี่อยู่ด้วยกัน ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อการสนทนาธรรม วินัยจะรู้ได้ต่อเมื่อเราอยู่ด้วยกันนะ คนอยู่ด้วยกันจะรู้เลยว่า อยู่กันนาน ๆ นี่จะเห็นหมดว่าวินัยจะเป็นสภาวะแบบใด

แล้วสภาวธรรม เห็นไหม เวลาเราพูดธรรม เวลาเรามีความสงสัยนี่ แล้วเขาแก้ไม่ได้ เราทำความสงบของใจ ใจนี้สงบมากเลย แล้วไปถามครูบาอาจารย์น่ะ ครูบาอาจารย์ตอบไม่ได้ ถ้าตอบไม่ได้น่ะ ความสงบอันนี้ท่านยังไม่มีเลย ท่านจะตอบได้อย่างไร แต่ถ้าเรามีของเราขึ้นมานี่ เราติดขัดขึ้นมา ครูบาอาจารย์จะปลดเปลื้องเราได้ เห็นไหม เวลาใช้ออกแง่ของปัญญานี่ ท่านจะปลดเปลื้องแง่ของปัญญา เวลามันติดพันขึ้นไปนี่ จะปลดเปลื้องออกไปเรื่องต่าง ๆ

นี่ชี้นำไปตลอด แล้วเราก้าวเดินไปตลอดนี่มันจะซึ้งใจมากไง เวลาคนถึงธรรมแล้วถึงกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเต็มใจ ใจนี่จะกราบด้วยความเต็มใจนะ เพราะมันซึ้งใจมาก สิ่งนี้มันละเอียดอ่อนมาก ถึงว่ามันเหมือนกับว่าจะสุดวิสัยเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่สุดวิสัยของมนุษย์” สิ่งที่เป็นมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหมนี่ มาฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติไป เทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สอนที่ไหน สอนเรื่องอริยสัจของเรื่องใจ

เราก็มีหัวใจ เราก็มีร่างกาย เทวดาเวลามาฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ตรัสรู้ไป ที่รู้ธรรมไป ๆ น่ะเขาก็มีใจเหมือนกัน แต่สภาวะแบบนั้นน่ะ คนที่จะทำอย่างนั้นได้ มันต้องมีบารมีหนึ่ง ใจต้องละเอียดอ่อนอย่างนั้นหนึ่ง เวลาใจเราละเอียดอ่อนขึ้นมา เห็นไหม มิติ ๒๔ ชั่วโมงของเรานี่เป็น ๑ วัน เราก็ติด ๒๔ ชั่วโมงของเรา ความคิดของเราอยู่ในขอบ แต่เวลาเทวดานี่ เวลาเขามากกว่าเรา ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับเขา ๑ วัน นี่เวลามันสภาวะเป็นแบบนั้นไป

แต่อริยสัจนี่ มันไม่เกี่ยวกับกาลเวลาไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจนี่เกิดได้ทุกดวงใจ เพราะมันเป็นเรื่องของใจ นี่ย้อนกลับเข้ามาตรงนี้ มาแก้ไขตรงนี้ นี่เทวดามาฟังธรรมแบบนี้ พระอรหันต์เกิดเกิดจากตรงนี้ไง พระอรหันต์ไม่ได้เกิดจากการบวช พระอรหันต์ไม่ได้เกิดจากการใครแต่งตั้งให้หรอก พระอรหันต์เกิดจากใจของพระองค์นั้น เกิดจากผู้ปฏิบัติผู้นั้น ทำใจขององค์นั้นของคนนั้นสิ้นไป

แล้วพระอรหันต์บางองค์ก็สามารถย้อนอดีตชาติได้หลายชาติ พระอรหันต์บางองค์ก็ย้อนอดีตชาติได้น้อยชาติ นี่บารมีมันมาเป็นอย่างนั้น พระอรหันต์ในวงปฏิบัติเรานี่มีมากมายเลย แต่ไม่มีใครมีบารมีแบบหลวงตา หลวงตามีบารมีมากเพราะท่านสั่งสมมามาก ท่านถึงเป็นที่พึ่งของหมู่คณะได้ ถ้าเป็นที่พึ่งของหมู่คณะได้นี่ เวลาประเทศชาติมีความเป็นไป ท่านเห็นประเทศชาติมีความเป็นไป ท่านมาช่วยประเทศชาตินี่ มันเป็นของท่าน

แล้วคนจะทำอย่างนี้อีกไม่มีหรอก ทำอย่างนี้มันเป็นการเลียนแบบกัน สิ่งที่เลียนแบบกัน เห็นไหม มันก็ถึงว่าเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด แต่เวลาของท่านนี่ ท่านออกมาช่วยโลก แล้วสิ่งที่ว่าเวลาคนทำงานน่ะ มีคนเห็นด้วยและคนไม่เห็นด้วย ทีนี้ท่านยืนของท่าน ท่านยืนเฉพาะคนที่เห็นด้วย ให้คนที่เห็นด้วยเขามีโอกาสไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ต้องสร้างเป็นพุทธภูมินะ ต้องรื้อสัตว์ขนสัตว์นี่ ช่วยเหลือมามากมายเลย นี้ก็เหมือนกัน หลวงตาก็ต้องการตรงนี้ไง ต้องการให้ชาวพุทธเราได้ทำบุญกุศล เวลาเราทุกข์ยากขึ้นมานี่ เราทุกข์ยากมาก ทุกข์ยากเพราะอะไร? คนทุกข์ยากนี่ คนที่มีโอกาส เห็นไหม คนจบการศึกษามา คนที่ประสบความสำเร็จนี่ อย่างปลัดกระทรวงได้กี่คน? มีคนเดียว อธิบดีมีได้กี่คน? มีคนเดียว แล้วกว่าจะขึ้นไปถึงจุดนั้นน่ะ มันมีได้เท่าไร

นี่บารมีของคนมันไม่เหมือนกัน ถึงต้องสร้างสมไง โอกาสวาสนาของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน นี่อาจารย์ถึงได้เปิดโอกาสให้สัตว์โลกได้ทำบุญ คนที่มีความเห็นด้วยก็ทำของเขาไป แล้วโอกาสนี่มันจะไปให้กับใจดวงนั้น เวลาพระอาทิตย์ขึ้นมามันต้องมีความร้อนโดยแน่นอน เราทำบุญกุศล บุญกุศลต้องตกอยู่ในใจของเราแน่นอน ใครจะรู้ไม่รู้เรารู้ของเรา นี่มันจะย่อยเป็นทิพย์สมบัติ ทิพย์อันนี้จะอยู่กับใจตลอดไป แล้วจะพาใจดวงนี้พาเกิดพาตาย

แล้วถ้าคุณงามความดี ทำดีต้องได้ดี นี่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงเชื่อตรงนี้ไง ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราทำคุณงามความดีของเรา ใครจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยเป็นสภาวะของเขา เวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราต้องนั่งของเรา เราต้องแก้ไขใจของเรา ถ้าเราแก้ไขใจของเราหมดสิ้นนี่ ใจดวงนี้ก็ทุกข์แบบนี้ แล้วใจของสัตว์โลกทุกดวงมันก็เป็นแบบนี้ แต่แง่มุมมันต่างกันเพราะอำนาจวาสนามันต่างกันมาเท่านั้นเอง

แต่ถ้าใจดวงนี้มันจบสิ้นแล้วนี่ สิ่งที่จบสิ้นขึ้นมานี้ เห็นไหม ไม่เบียดเบียนตน แล้วจะเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ด้วย ถ้าเขาพอใจ ถ้าเขาเปิดตา ถ้าเขาไม่พอใจก็เรื่องของเขา คนไม่พอใจ คนไม่สนใจ แล้วเราจะไปสอนเขา คนคนนั้นบ้านะ เราจะสอนให้สัตว์มันทำงานเหมือนเรานี่ เป็นไปไม่ได้หรอก สัตว์มันก็ทำงานประสาสัตว์ของมัน

นี่ใจของคนที่ไม่เห็นด้วยมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะมีความเห็นเหมือนเรา จนกว่าเขาทุกข์ยาก จนกว่าเมื่อไรเขาสะเทือนใจของเขา หรือหมดบุญหมดกรรมของเขา เขาจะมาเห็นด้วยน่ะ เขาก็จะมาเสียดายโอกาส นี่ใจของคน มันถึงต้องดูตรงนี้ไง มนุษย์เรานี่ดูที่ร่างกายก็เหมือน ๆ กัน แต่หัวใจของคนคิดไม่เหมือนกันนะ

ในพระไตรปิฎกบอกเลย “มนุษย์นี่แปลกประหลาดมาก ความคิดนี่อย่างหนึ่ง เวลาพูดออกมานี่ เพื่อสมานกันน่ะ พูดอย่างหนึ่ง เวลาทำทำไปอีกอย่างหนึ่ง” มันยุ่งมาก เรื่องของคนนี่ยุ่งมาก ๆ เพราะอะไร? เพราะคนมีใจ ทำไมใจมันถึงยุ่งล่ะ? ยุ่งเพราะใจมันมีกิเลสไง ใจมันมีกิเลส มันอยากจะมีความเหนือกัน มันอยากจะมีการกดขี่กัน มันเป็นสภาวะแบบนั้น มันถึงยุ่งมาก

เราถึงต้องแก้กิเลสของเรา ถ้ากิเลสของเราจบแล้ว เรื่องของคนอื่นมันเป็นเรื่องของคนอื่น ถ้าเขาฟัง ถ้าเขาเป็นประโยชน์ ท่านจะเปิดออกมา ถ้าเขาไม่ฟัง เขาไม่เป็นประโยชน์ เราจะเก็บของเราไว้ อาหารของเรานี่ มีประโยชน์มากเลย ถ้าเขาไม่กินของเขา เขาเคยอาหารของเขาก็เรื่องของเขา จริตนิสัยเขาเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นแบบนั้นตลอดไป วางไว้นะ เวลาพูดถึงนี่ เราเห็นของเรา เห็นเป็นคุณประโยชน์ของเรา เราก็เห็นคุณประโยชน์มาก ถ้าเขาไม่เห็นคุณประโยชน์ก็เรื่องของเขา นี่เรื่องของเขากับเรื่องของเรา ต้องเป็นสภาวะแบบนั้น เอวัง